อาชีพการขาย เป็นอาชีพที่สามารถสร้างรายได้ได้ดีที่สุด ซึ่งหากใครที่มีธุรกิจเป็นของตัวเอง มีผลิตภัณฑ์สินค้าแบรนด์ตัวเอง ก็ย่อมมีแนวทางการตลาด เพื่อส่งเสริมการขายที่หลากหลากพร้อมทั้งปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้เข้ากับยุคสมัยได้เป็นอย่างดี โดยหลักในการขายสินค้าที่สำคัญ ก็คือ การโปรโมทสินค้า โปรโมทร้านให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายให้ได้มากที่สุด แต่นอกจากหลักการเหล่านี้แล้วอีกหนึ่งช่องทางเพิ่มยอดขายที่มีความจำเป็นเช่นกัน ก็คือ การรับตัวแทนจำหน่ายเข้ามาเป็นตัวแทนขายสินค้า เพื่อการกระจายสินค้าอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้นและสามารถเพิ่มยอดขายได้มากตามต้องการ
เทคนิคการสร้างตัวแทนจำหน่ายเพิ่มยอดขาย
การสร้างตัวแทนจำหน่ายปัจจุบันนี้ทำได้ไม่ยากเลย โดยเฉพาะธุรกิจที่จำหน่ายสินค้าในรูปแบบร้านค้าออนไลน์ ซึ่งการเปิดรับตัวแทนนั้น สามารถทำได้สองรูปแบบด้วยกัน คือ ตัวแทนแบบสต็อกสินค้าและตัวแทนแบบไม่ต้องสต็อกสินค้า ซึ่งก็แล้วแต่นโยบายของแต่ละภาคธุรกิจ โดยส่วนมากตัวแทนแบบไม่ต้องสต็อกสินค้าจะได้รับความนิยมมากกว่า เนื่องจากตัวแทนเองก็ไม่ต้องรับความเสี่ยงในการขายสินค้าสูงมากหรือแทบไม่ต้องเสี่ยงอะไรเลย ทั้งยังมีความสะดวกและรวดเร็วในการกระจายสินค้าอีกด้วย
ตัวแทนจำหน่ายแบบไม่ต้องสต็อกสินค้า (Dropship)
- การรับสมัครตัวแทนแบบไม่ต้องสต็อกสินค้าหรือตัวแทนแบบดร็อปชิป (Dropship) จะมีค่าสมัครในการเป็นตัวแทนหรือไม่มีก็ได้ โดยวิธีการทำงานคือ ให้ตัวแทนนำภาพสินค้าหรือสินค้าตัวอย่างไปเสนอขายตามวิธีของตัวเองผ่านช่องทางต่างๆ เช่น เว็บไซต์ ร้านค้าออนไลน์ แฟนเพจ เป็นต้น จากนั้นเมื่อมีลูกค้าสั่งซื้อสินค้ากับตัวแทน ผู้เป็นตัวแทนจำหน่ายจะต้องเข้ามาสั่งซื้อสินค้ากับทางร้านอีกทอดหนึ่ง แล้วทางร้านจะเป็นผู้จัดการเองทั้งหมด โดยที่ตัวแทนไม่ต้องทำอะไรเลย
- สำหรับการตั้งราคา ตัวแทนสามารถบวกเพิ่มเองได้ ตัวอย่างเช่น นายบริษัท A ขายเสื้อผ้าแฟชั่น ราคา 200 บาท มีนาย B มาสมัครเป็นตัวแทนจำหน่าย นนาย B นำภาพสินค้าไปขายในเว็บไซต์ของตัวเองโดยบวกราคาเพิ่มเป็น 299 บาท ลูกค้าสั่งซื้อเสื้อผ่านนาย B และจ่ายเงินให้นาย B ในราคา 299 บาท จากนั้นนาย B เข้ามาสั่งจากร้านนาย A และจ่ายเงินให้นาย A จำนวน 200 บาท กำไรที่นาย B ได้คือ 99 บาท เป็นต้น
- การรับตัวแทนจำหน่ายแบบดรอปชิป ได้รับความนิยมมากกว่าตัวแทนแบบสต๊อกสินค้า โดยตัวแทนมีหน้าที่แค่ขายสินค้าให้ได้เท่านั้น ซึ่งนอกจากราคาที่ตัวแทนสามารถบวกเพิ่มเองได้แล้ว ทางร้านอาจจะมีการแบ่งค่าคอมมิชชั่น 5% 10% แล้วแต่ที่ตกลงกัน หรืออาจจะให้เป็นโบนัสพิเศษเมื่อทำยอดขายถึงเป้าก็ได้
ตัวแทนจำหน่ายแบบสต็อกสินค้า
- การรับตัวแทนจำหน่ายแบบสต็อกสินค้านั้น ต้องมั่นใจว่าสินค้ามีความต้องการในตลาดค่อนข้างสูง เพราะหากเป็นสินค้าใหม่ยังไม่ติดตลาด ตัวแทนจะมองว่ารับความเสี่ยงสูงเกินไป เพราะต้องมีการใช้เงินลงทุนซื้อสินค้ามาเก็บไว้ก่อนที่จะส่งขายต่อ ซึ่งจะทำให้เสี่ยงต่อการขาดทุนมากกว่าแบบแรก จึงทำให้การรับตัวแทนแบบนี้ไม่ค่อยเป็นที่นิยมมากนัก นอกจากในกลุ่มคนที่มีทุนจริงๆ
- การรับสมัครตัวแทนจำหน่ายแบบสต๊อกสินค้า โดยส่วนใหญ่แล้วจะไม่มีค่าสมัครสมาชิก เพราะตัวแทนจะต้องซื้อสินค้าเพื่อไปเก็บสต๊อกไว้อยู่แล้ว แต่ทั้งนี้ทางผู้ประกอบการ ควรขายสินค้าให้กับตัวแทนในราคาส่งหรือราคาที่ถูกที่สุด เพื่อให้ตัวแทนสามารถนำไปทำกำไรต่อได้ไม่ยาก อีกทั้งยิ่งสินค้ามีราคาถูกมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเชิญชวนให้ผู้คนอยากสมัครเป็นตัวแทนมากเท่านั้น
ตัวอย่างขั้นตอนการรับสมัครตัวแทนจำหน่าย
สำหรับธุรกิจที่ต้องการสร้างตัวแทนจำหน่าย ตามกลยุทธ์ของตัวเองที่ไม่ใช่แบบลูกโซ่ส่วนใหญ่แล้ว โดยมีเงื่อนไขการสมัครดังต่อไปนี้
- 1. กรอกใบสมัครเพื่อขอเป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ
- 2. แจ้งรายละเอียดรายได้ที่ตัวแทนจำหน่ายแต่ละประเภทจะได้รับ
- 3. ตัวแทนสามารถนำรูปภาพและรายละเอียดสินค้าจากหน้าเว็บไซต์ไปขายต่อได้ทันที ซึ่งมีการจัดเป็นหมวดหมู่เพื่อให้เกิดความสะดวกต่อตัวแทนอยู่แล้ว
- 4. ระบุรายละเอียดเงื่อนไขการสมัครตัวแทนแต่ละประเภทอย่างชัดเจน เพื่อให้ตัวแทนอ่านทำความเข้าใจก่อนตัดสินใจสมัคร
- 5. กำหนดยอดขายต่อเดือนที่ตัวแทนควรทำได้ พร้อมเสนอสิทธิพิเศษต่าง ๆ ที่จะได้รับ
- 6. เอกสารสัญญาการเป็นตัวแทน
- 6. แจ้งช่องทางการสั่งซื้อสินค้าสำหรับตัวแทนจำหน่าย
- 7. แจ้งเงื่อนไขอื่นๆ ที่กำหนด
การมีตัวแทนจำหน่าย เป็นช่องทางที่ดีที่สุดในการเพิ่มยอดขายให้กับสินค้าและบริการ ทั้งนี้ก็เพราะตัวแทนจะช่วยกระจายสินค้าให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น ซึ่งสามารถรับสมัครตัวแทนได้ทั้งแบบสต๊อกสินค้าและไม่สต๊อกสินค้าที่สำคัญควรให้ราคาสินค้ากับตัวแทนในระดับที่ถูกที่สุด เพื่อให้ตัวแทนสามารถทำกำไรได้อย่างง่ายดาย หรืออาจมีสิทธิพิเศษอื่นๆ ร่วมด้วย เพื่อเป็นการจูงใจให้ผู้คนอยากสมัครเข้าเป็นตัวแทนจำหน่ายมากยิ่งขึ้นนั่นเอง