SEO เป็นกระบวนการที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยแนวปฏิบัติบางประการที่เคยได้ผลอาจกลายเป็นเทคนิคที่ล้าสมัยและควรหลีกเลี่ยง เพราะอาจส่งผลกระทบเชิงลบต่ออันดับและความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ในสายตา Google การที่คุณใช้เทคนิค SEO แบบเก่าสำหรับเว็บไซต์ของคุณอาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ได้ บทความนี้เราได้ระบุเทคนิค SEO แบบเก่าหรือล้าสมัยที่คุณควรหลีกเลี่ยง เพื่อไม่ให้เว็บหลุดจากตำแหน่งผลการค้นหา มาดูกันว่า SEO ที่ล้าสมัยที่ควรเลี่ยงคืออะไรบ้าง กลยุทธ์บางอย่างอาจทำให้เว็บไซต์คุณถูกลงโทษหรืออันดับตกอย่างกะทันหันก็เป็นได้
ใช้เวลาอ่าน 20 นาที
ไดเรกทอรีบทความ เคยเป็นเทคนิค SEO ยอดนิยมที่ช่วยให้เว็บได้รับลิงก์ย้อนกลับได้ง่าย ๆ แนวคิดคือผู้เขียนจะเขียนบทความสั้น ๆ ที่มีเนื้อหาคล้ายกับชีวประวัติ พร้อมแทรกลิงก์กลับไปยังเว็บไซต์ของตนเอง ใครก็ตามที่นำบทความเหล่านั้นไปเผยแพร่ซ้ำบนเว็บไซต์ของตัวเองก็จะเพิ่มลิงก์ย้อนกลับและชีวประวัติของผู้เขียนไปด้วย ซึ่งทำให้เว็บไซต์ของผู้เขียนได้รับประโยชน์ในแง่ของ SEO
แต่ต่อมา Google เริ่มมองว่าไดเรกทอรีบทความนั้นมีคุณภาพต่ำ คล้ายกับเป็น “ฟาร์มลิงก์” ที่เต็มไปด้วยเนื้อหาที่ไม่น่าสนใจหรือขาดคุณภาพ การอัปเดตอัลกอริทึมแพนด้าของ Google ที่ออกมาในปี 2011 ได้ทำให้การใช้งานไดเรกทอรีบทความไม่เป็นที่ยอมรับอีกต่อไป เพราะแพนด้ามุ่งเน้นที่จะลดคุณค่าของลิงก์ย้อนกลับจากแหล่งที่เนื้อหาไม่น่าสนใจและเน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพ ดังนั้น แม้ว่าไดเรกทอรีบทความจะเคยเป็นวิธีที่สะดวกในอดีต แต่ปัจจุบันกลับเป็นแนวทางที่ไม่แนะนำ เพราะไม่เพียงแต่จะไม่ช่วยในการปรับปรุงอันดับเว็บไซต์ แต่ยังอาจส่งผลเสียต่อความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ในสายตา Google
คำหลักก็คือคำค้นหา หรือ คียเวิดร์ที่เราเข้าใจกันนั้นแหละ ในสมัยก่อน การใส่คำหลักเยอะ ๆ ลงในหน้าเว็บอาจช่วยให้ติดอันดับได้ดี แต่ปัจจุบัน Google ฉลาดขึ้นแล้ว! ถ้าใส่คำหลักซ้ำซากในเนื้อหามากไปจนทำให้อ่านไม่ลื่นไหล Google จะถือว่าเป็นการหลอกลวงเพื่อดึงดูดทราฟฟิก นอกจากจะไม่ช่วยแล้วยังทำให้หน้าเว็บถูกมองเป็นสแปมได้ง่ายอีกด้วย ทางที่ดีควรเขียนเนื้อหาให้เป็นธรรมชาติ แค่ใช้คำหลักให้พอประมาณ โดยแทรกไปอย่างแนบเนียน แล้วเน้นให้เนื้อหาดูดี อ่านสนุกเข้าไว้
สมัยก่อนการมีเนื้อหาเยอะ ๆ แม้จะไม่มีคุณภาพหรือเขียนมั่ว ๆ ไปบ้างก็ยังพอช่วยเรื่องอันดับได้ แต่ตอนนี้ผู้ใช้และ Google ต้องการเนื้อหาที่มีคุณค่า อ่านแล้วได้ประโยชน์จริง ถ้าคอนเทนต์บนเว็บไม่มีสาระหรือน่าเบื่อจนทำให้คนอ่านกดออกเร็ว ก็อาจทำให้เว็บไซต์ของคุณเสียคะแนน การมีเนื้อหาคุณภาพสูงที่เข้าใจง่าย ให้ข้อมูลครบถ้วน และตอบโจทย์สิ่งที่ผู้ค้นหาต้องการ ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมากกว่าแค่เขียนให้ได้จำนวนคำเยอะ ๆ
การไปฝากลิงก์เว็บไซต์ในส่วนคอมเมนต์ของเว็บอื่น ๆ อาจเคยเป็นวิธีที่นิยม แต่ปัจจุบัน Google ให้ความสำคัญกับคุณภาพมากกว่า หากการทิ้งลิงก์นั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของบทความที่คอมเมนต์ไว้และดูเหมือนเป็นการสแปมมากกว่า การทำแบบนี้อาจไม่เป็นผลดีต่อเว็บไซต์ของคุณ และยังทำให้ภาพลักษณ์ของเว็บดูไม่น่าเชื่อถืออีกด้วย ถ้าจะคอมเมนต์แนะนำเว็บไซต์ของเราก็ควรทำอย่างเป็นธรรมชาติและให้เกิดประโยชน์ต่อคนอ่านจะดีกว่า
สงสัยว่า "Flat URL คืออะไรกันแน่" เมื่อเว็บไซต์ใช้รูปแบบ URL ที่หน้าทั้งหมดแยกสาขาออกจากโดเมนโดยตรงโดยไม่มีการแบ่งหมวดหมู่ย่อย จะเรียกว่า Flat URL
การมี URL ที่เรียบ ๆ และไม่เป็นระเบียบอาจดูง่าย ๆ แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ช่วยให้ Google เข้าใจโครงสร้างเว็บไซต์ของคุณได้ดี การใช้ URL แบบจัดหมวดหมู่และระบุคำหลัก จะทำให้ Google และผู้ใช้เห็นภาพรวมของเนื้อหาหน้าเว็บได้ดีขึ้น
เช่น “example.com/seo-guide/keyword-research” จะมีความหมายและดูเป็นมิตรมากกว่า “example.com/page1” ซึ่ง URL ที่ดีจะมีส่วนช่วยเพิ่มโอกาสในการติดอันดับได้อีกด้วย
example.com/แมวสายพันธุ์/
example.com/cat-sleep/
example.com/ของเล่นแมว/
example.com/อาหารแมว/
example.com/แมว/
URL แบบดี
example.com/แมว/
example.com/แมว/แมวพันธุ์/
example.com/cats/cat-sleep/
example.com/แมว/ของเล่นแมว/
example.com/แมว/อาหารแมว/
การซื้อลิงก์หรือแลกเปลี่ยนลิงก์กับเว็บไซต์อื่น ๆ เป็นวิธีที่เคยได้ผลในอดีต เพราะ Google ใช้ลิงก์ในการประเมินความนิยมของเว็บไซต์ แต่ปัจจุบัน Google มีเครื่องมือตรวจจับการซื้อลิงก์ที่แม่นยำขึ้นมาก หากถูกจับได้ว่าเว็บของคุณมีการซื้อลิงก์ อาจทำให้เว็บไซต์ถูกแบนหรือตกอันดับได้ง่าย การสร้างลิงก์ที่มีคุณภาพและเป็นธรรมชาติจึงเป็นวิธีที่ปลอดภัยและยั่งยืนที่สุดครับ
การโฟกัสแต่ปริมาณ เช่นการมีลิงก์เยอะ ๆ หรือโพสต์เยอะ ๆ โดยไม่คำนึงถึงคุณภาพของเนื้อหาอาจทำให้เว็บดูเหมือนไม่มีสาระและไม่น่าสนใจ Google จะให้น้ำหนักกับเนื้อหาที่มีคุณภาพสูงและเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้มากกว่า เช่น การมีลิงก์ที่มาจากแหล่งที่น่าเชื่อถือดีกว่าการมีลิงก์ที่มาจากเว็บที่ดูไม่น่าเชื่อถือ ดังนั้นหากจะลงทุนเวลาในการสร้างเนื้อหา ให้เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณจะดีกว่า
ประสบการณ์ของผู้ใช้เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่ออันดับของเว็บไซต์ ถ้าเว็บไซต์ใช้งานยาก โหลดช้า มีโฆษณามากจนเกินไป หรือหน้าตาดูยุ่งเหยิง ผู้ใช้มักจะไม่อยู่ต่อ ซึ่งอาจทำให้อัตราการเด้ง (Bounce Rate) สูงขึ้น ดังนั้นควรพัฒนาเว็บไซต์ให้ใช้งานง่าย โหลดเร็ว และดูเป็นระเบียบ เพื่อให้ผู้ใช้ประทับใจและอยากกลับมาใช้งานอีก
การใช้คำหลักมากเกินไปในข้อความยึดหรือลิงก์ที่เชื่อมโยงไปหน้าอื่น ๆ ในเว็บไซต์ เช่น ใช้แต่คำว่า “บริการรับทำเว็บไซต์” ในทุกลิงก์อาจถูกมองว่าเป็นการสแปม ควรใช้คำที่หลากหลายและเป็นธรรมชาติเพื่อทำให้เนื้อหาดูสมจริงมากขึ้น เช่น ใช้คำอื่น ๆ ที่ใกล้เคียงหรือเป็นคำเชื่อมโยงที่เกี่ยวข้องก็จะช่วยให้อ่านแล้วเป็นธรรมชาติมากกว่า
การซ่อนข้อความหรือใช้สีพื้นหลังที่เหมือนกันกับสีตัวอักษรเพื่อให้ข้อความนั้นไม่ปรากฏต่อผู้ใช้ แต่ปรากฏใน Google นั้นเคยเป็นเทคนิคที่ได้ผล แต่ Google ก็พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ และสามารถตรวจจับได้อย่างแม่นยำ การใช้วิธีนี้อาจทำให้เว็บถูกลงโทษ ดังนั้น ควรสร้างเนื้อหาที่โปร่งใสและน่าเชื่อถือ ไม่จำเป็นต้องซ่อนอะไรให้ซับซ้อนครับ
โดเมนที่มีคำหลักตรง ๆ เช่น "บริการรับทำเว็บไซต์.com" เคยได้ผลดีในการติดอันดับ แต่ Google ก็ปรับระบบใหม่ให้เน้นคุณภาพของเนื้อหามากกว่าโดเมน ควรเลือกชื่อโดเมนที่เป็นเอกลักษณ์ ดูน่าเชื่อถือ และไม่ยัดคำหลักลงไปจนเกินไป แล้วเน้นการสร้างเนื้อหาที่ดีจะช่วยดีกว่า
การใช้ AI เขียนเนื้อหาเป็นเรื่องสะดวกและช่วยประหยัดเวลา แต่หากพึ่งพา AI มากเกินไปโดยไม่ตรวจสอบหรือปรับปรุง อาจทำให้เนื้อหาดูขาดความเป็นธรรมชาติและขาดความเข้าใจลึกซึ้ง การให้ AI ช่วยเขียนเป็นแค่ตัวช่วยดี แต่ควรให้ผู้เขียนจริง ๆ เข้ามาตรวจทาน ปรับปรุง หรือเพิ่มเติมเพื่อให้เนื้อหาดูน่าเชื่อถือและเป็นเอกลักษณ์ยิ่งขึ้น
สุดท้ายนี้
การทำ SEO ที่ดีในปัจจุบันไม่ได้เน้นแค่การทำให้เว็บติดอันดับ แต่เป็นการสร้างประสบการณ์ที่ดีและให้ข้อมูลที่มีคุณค่าสำหรับผู้ใช้มากขึ้น การหลีกเลี่ยงเทคนิคที่ล้าสมัยเหล่านี้จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีความน่าเชื่อถือและดึงดูดผู้ใช้ได้ยาวนานครับ!
สิ่งที่ควรศึกษาเพิ่มเติม